ครั้งแรกที่คุณได้เห็นนาฬิกา Legacy Machine สักเรือน สมองของคุณต้องพยายามประมวลผลกับสิ่งที่คุณมองอยู่ เพราะบาลานซ์วีลที่ลอยสูงอยู่เหนือหน้าปัดอย่างเหลือเชื่อนั้นหมุนในอากาศราวกับหัวใจของเครื่องจักรที่เผยมาให้ทุกคนได้เห็น นี่ไม่ใช่รูปลักษณ์ของนาฬิกาที่ควรเป็น กว่า 200 ปีที่ผ่านมา ช่างนาฬิกามักซ่อนงานวิศวกรรมอันน่าทึ่งไว้ใต้หน้าปัด เผยให้เห็นความซับซ้อนกให้กับผู้ที่พลิกดูด้านหลังของนาฬิกาเท่านั้น Maximilian Büsser มองเห็นขนบที่ว่านี้ และตัดสินใจว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ ทำไมต้องซ่อนส่วนที่ดีที่สุดไว้เช่นนั้น การต่อต้านขนบอย่างเรียบง่าย เพียงนำบาลานซ์วีลขึ้นมาไว้ด้านบนแทนที่จะซ่อนอยู่ข้างใต้ได้กลายเป็นคาแรกเตอร์ที่กำหนดตัวตนของคอลเลกชัน Legacy Machines ของ MB&F ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2011 ซึ่งนับเป็นเวลา 6 ปีหลังการก่อตั้งแบรนด์
ลอยเหนือห้วงกาล: คู่มือนักสะสมนาฬิกา MB&F Legacy Machine
ในแวดวงแห่งการรังสรรค์นาฬิกาอิสระ Maximilian Büsser โดดเด่นในฐานะผู้มีวิสัยทัศน์ที่เข้าใจว่านวัตกรรมแท้จริงเกิดจากการร่วมมือสร้างสรรค์มากกว่าการอยู่โดดเดี่ยว เส้นทางของเขาเริ่มต้นในปี 1991 ที่ Jaeger-LeCoultre ซึ่งเขาได้ฝึกฝนทักษะด้านการตลาดและการขาย จนเข้าใจลึกซึ้งถึงแรงขับเคลื่อนของนักสะสมที่ไปไกลกว่าเรื่องกลไกเพียงอย่างเดียว ในปี 1998 ในช่วงวัยที่คนส่วนใหญ่ยังอยู่หาจุดยืนของตน Büsser กลับได้รับความไว้วางใจให้ดูแลแผนกนาฬิกาทั้งหมดของ Harry Winston หน้าที่นี้ไม่เพียงพลิกเส้นทางอาชีพของเขา แต่ยังเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ของการรังสรรค์นาฬิกาชั้นสูงทั้งวงการ
การทำงานที่ Harry Winston นั้น Büsser ได้บุกเบิกซีรีส? Opus ที่ปฏิวัติวงการโดยเปิดตัวในปี 2001 ด้วยการผสานกลไกของ François-Paul Journe เข้ากับตัวเรือนของ Harry Winston การแสดงนาฬิกาประจำปีที่นำเสนอความสามารถของช่างนาฬิกาอิสระ โดยร่วมงานกับปรมาจารย์อย่าง Vianney Halter และทีมงาน URWERK ไม่ได้เพียงสร้างสรรค์นาฬิกา แต่ได้สร้างกระบวนทัศน์ใหม่ที่ว่า แบรนด์ชั้นนำและนักสร้างสรรค์อิสระสามารถร่วมมือกันได้อย่างไร นาฬิกาในซีรีส์ Opus ได้ยกระดับช่างนาฬิกาที่อยู่ในวงการใต้ดินสู่การยอมรับในเวทีนานาชาติ โดยพิสูจน์ว่านักสะสมต่างโหยหาสิ่งที่ล้ำลึกกว่าความซับซ้อนของกลไกแบบดั้งเดิม
แม้ได้รับความสำเร็จนี้ Büsser กลับรู้สึกว่าถูกจำกัด หลังออกจาก Harry Winston ภายหลังการเปิดตัวซีรีส์ Opus V เขานำโมเดลความร่วมมือที่ได้บุกเบิก มาต่อยอดและพัฒนาสู่สิ่งใหม่อย่างแท้จริง MB&F จึงถือกำเนิดขึ้นที่เจนีวาในปี 2005 ไม่ใช่ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาตามขนบดั้งเดิม แต่เป็นห้องทดลองสร้างสรรค์ โดยคำว่า "&Friends" ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์สร้างแบรนด์ แต่เป็นปรัชญาสำคัญของแบรนด์ วิถีนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของคอลเลกชัน Legacy Machines เพราะเปิดโอกาสให้ Büsser ดึงความเชี่ยวชาญเฉพาะของปรมาจารย์ผู้รังสรรค์นาฬิกามาใช้ โดยที่ยังคงวิสัยทัศน์สร้างสรรค์เฉพาะตัวที่สื่อสารโดยตรงกับนักสะสมที่แสวงหาความพิเศษเหนือระดับ
ขณะที่ MB&F ได้เริ่มสร้างกระแสด้วยซีรีส์ Horological Machines (HM) ที่แสนล้ำสมัย โดยคิดถึงยานอวกาศ เครื่องยนต์ของรถยนต์ และแมงกระพรุนที่แปลงโฉมเป็นอุปกรณ์บอกเวลาสำหรับสวมข้อมือ ซึ่งการเปิดตัวคอลเลกชัน Legacy Machine (LM) ในปี 2011 ได้พิสูจน์แล้วว่าแบรนด์สามารถเชิดชูขนบดั้งเดิม พร้อมกับทลายกรอบความคิดเหล่านั้นไปได้ในเวลาเดียวกัน

คอนเซ็ปต์ของ Legacy Machine พัฒนาจากการทดลองทางความคิดอันน่าตื่นใจที่ว่า ถ้า Büsser เกิดก่อนหน้านี้ 100 ปีจะเป็นอย่างไร นาฬิกาข้อมือแบบใดที่เขาจะสร้างสรรค์ร่วมกับเหล่าช่างนาฬิกามากมายในยุครุ่งเรืองของวงการนาฬิกา คำตอบนี้ปรากฎในรูปแบบของนาฬิกาที่ดูคลาสสิกตั้งแต่แรกเห็น ทว่าเมื่อสังเกตใกล้ๆ จะเผยถึงการตีความใหม่อย่างสุดโต่งของความซับซ้อนตามขนบดั้งเดิม
“Legacy Machines คือการเชิดชูต่อขนบธรรมเนียมในแบบของผม” Büsser อธิบาย “นาฬิกาเหล่านี้คือสิ่งที่ผมจะสร้างสรรค์หากมีชีวิตอยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21”

ปฐมบทของ Legacy Machine สั่นสะเทือนวงการนาฬิกาด้วยบาลานซ์วีลที่ลอยเด่นเหนือหน้าปัด โดยยึดไว้ด้วยสะพานจักรโค้งสองชิ้นอย่างสง่างาม ผลงานนี้รังสรรค์จากความร่วมมือของช่างนาฬิกาอิสระ Jean-François Mojon และ Kari Voutilainen นาฬิกา LM1 โดดเด่นด้วยฟังก์ชันบอกเวลาสองไทม์โซนและเข็มแสดงพลังงานสำรองแนวตั้ง นับเป็นการสร้างสรรค์นาฬิกาคลาสสิกที่พลิกจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง เพราะเผยให้เห็นความงามของชิ้นส่วนกลไกอย่างภาคภูมิ แทนที่จะซ่อนเร้นไว้เบื้องหลังหน้าปัดดังนาฬิกาทั่วไป

หาก LM1 คือการพลิกขนบการทำนาฬิกาคลาสสิกอย่างนุ่มนวลแล้ว LM2 ก็คือการประกาศอิสรภาพอย่างกล้าหาญ
ผลงานที่ร่วมพัฒนากับ Jean-François Mojon และ Kari Voutilainen นี้ มาพร้อมบาลานซ์คู่แบบฟลายอิง ซึ่งเชื่อมต่อด้วยดิฟเฟอเรนเชียลที่ทำหน้าที่เฉลี่ยอัตราการเดินของทั้งสองเพื่อความเที่ยงตรงสูงสุด กลไกเฟืองท้ายแบบแพลเนตทารี (Planetary Differential) ที่สามารถมองเห็นได้ผ่านหน้าปัดกลายเป็นพระเอกของเรื่อง โดยแปลงกลไกทางเทคนิคให้กลายเป็นบทกวีที่เผยผ่านสายตาได้อย่างงดงาม

ด้วยตระหนักว่ามีนักสะสมจำนวนไม่น้อยที่ไม่อาจเข้าถึงความซับซ้อน (และราคา) ของนาฬิกา Legacy Machines รุ่นมีเลขลำดับ MB&F จึงได้สร้างสรรค์นาฬิกา LM101 ขึ้นมาเป็นรุ่นเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า ทว่าคำว่า “เรียบง่าย” ในแบบฉบับของ MB&F ยังคงมีความหมายถึงการจัดแสดงบาลานซ์วีลที่ลอยเด่นเหนือหน้าปัด พร้อมสถาปัตยกรรมกลไกแสนประณีตที่พัฒนาขึ้นโดย Kari Voutilainen นาฬิกา LM101 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าปรัชญาการออกแบบของ MB&F สามารถปรับขนาดได้โดยไม่ลดทอนคุณภาพหรือเอกลักษณ์

Legacy Machine Perpetual คือตัวแทนความสำเร็จของศาสตร์แห่งเวลาที่ทะเยอทะยานที่สุดของ MB&F โดยเป็นผลงานร่วมกับ Stephen McDonnell ช่างทำนาฬิกาชาวไอริช ที่พลิกโฉมกลไกปฏิทินถาวรอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะใช้ระบบลูกเบี้ยวและก้านโยกแบบทั่วไป McDonnell สร้าง “โปรเซสเซอร์เชิงกล” ขึ้นจากแผ่นดิสก์ซ้อนกันหลายชั้น ผลลัพธ์คือปฏิทินถาวรที่ใช้งานง่ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา สามารถปรับวันที่เดินหน้าและถอยหลังได้โดยไม่เสี่ยงต่อความเสียหายของแผ่นดิสก์

LM Split Escapement นำบาลานซ์วีลลอยตัวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Legacy Machine มาต่อยอดเพิ่มมิติแห่งความน่าหลงใหล ด้วยการแยกชิ้นส่วนกลไกเอสเคปเมนต์(Escapement) ออกไปจัดวางรอบหน้าปัด โดยย้ายแองเคอร์และล้อเอสเคปไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบาลานซ์วีล ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลไกโครโนกราฟที่น่าตื่นตาตรึงใจซึ่งมองเห็นได้ผ่านหน้าปัด การจัดวางเชิงพื้นที่ของระบบการควบคุมนี้เปลี่ยนชิ้นส่วนเชิงเทคนิคให้กลายเป็นงานศิลปะเชิงจลน์อย่างแท้จริง

LMX รังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีคอลเลกชัน Legacy Machine ของ MB&F โดยผสานองค์ประกอบเด่นจากนาฬิกา Legacy Machine หลายรุ่น เหมือนกับการรวบรวม "สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด" เข้าด้วยกัน ตัวเรือนโดดเด่นด้วยหน้าปัดแสดงเวลาแบบคู่ที่แยกเป็นอิสระ หน้าปัดแต่ละด้านมีบาลานซ์วีลของตัวเองที่เอียงทำองศา ซึ่งชวนให้นึกถึงนาฬิกา LM1 ทว่ามาพร้อมสถาปัตยกรรมกลไกที่ออกใหม่หมดทั้งสิ้น การวางเข็มแสดงพลังงานสำรองไว้กึ่งกลางและการจัดวางแบบสมมาตรสร้างสรรค์ดีไซน์ลงตัวที่เป็นการคารวะต่ออดีตและพร้อมก้าวสู่อนาคต

ด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน Legacy Machine FlyingT กลายเป็นนาฬิกากลไกแรกที่ตั้งใจรังสรรค์เพื่อสุภาพสตรี ทว่าแทนที่จะลดทอนดีไซน์ที่มีอยู่เดิมและเพิ่มการประดับประดาเพชร Büsser และทีมของเขาเลือกที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลไก Flying Tourbillon ที่ยกสูง 6.5 มม. เหนือหน้าปัดใต้โดมคริสตัลแซฟไฟล์ พร้อมหน้าปัดแสดงเวลาเอียง 50 องศาเพื่อให้ผู้สวมใส่ดูเวลาได้สะดวกเพียงผู้เดียว นี่คือผลงานที่มีทั้งความใกล้ชิด มีโครงสร้างเชิงสถาปัตยกรรม และโดดเด่นในแบบฉบับ MB&F ไม่มีผิดเพี้ยน

LM Thunderdome สร้างสรรค์จากการร่วมมือของช่างทำนาฬิกาผู้มากประสบการณ์ Eric Coudray และ Kari Voutilainen ก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับนาฬิกาข้อมือ โดดเด่นด้วยกลไกควบคุมความเที่ยงตรงแบบสามแกนที่เร็วที่สุดในโลก โดยกรงด้านในสุดหมุนรอบได้ในเวลาเพียง 8 วินาที ชื่อ "Thunderdome" สรุปใจความสำคัญของความโกลาหลที่ถูกควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยสุดยอดนวัตกรรมกลไกเรือนนี้

LM Perpetual EVO นำกลไกปฏิทินถาวรที่ปฏิวัติวงการของ Stephen McDonnell มาปรับโฉมให้อยู่ในรูปแบบที่แข็งแรงทนทานและเหมาะสำหรับการสวมใส่ทุกวัน มาพร้อมตัวเรือนเซอร์โคเนียมและสายนาฬิกาจากยางแบบเชื่อมติดตัวเรือน นาฬิกา EVO ยังคงความซับซ้อนเชิงกลไกทั้งหมดจาก LM Perpetual รุ่นดั้งเดิม พร้อมเพิ่มความทนทานต่อแรงกระแทกและกันน้ำลึก 80 เมตร นับเป็นการพิสูจน์ว่าความซับซ้อนของการรังสรรค์นาฬิกาชั้นสูงออกแบบให้ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

จากความสำเร็จของ LM Split Escapement รุ่นดั้งเดิม นาฬิกาเวอร์ชัน EVO ยกระดับแนวคิดนี้ด้วยดีไซน์ตัวเรือนร่วมสมัยและการสวมใส่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ระบบกันกระแทก FlexRing ช่วยปกป้องแรงสะเทือนสำหรับบาลานซ์วีลแบบลอยที่บอบบาง ขณะที่สายนาฬิกาที่เชื่อมติดตัวเรือนและสัดส่วนตัวเรือนที่ปรับแต่งประณีตลงตัว ทำให้เหมาะกับการสวมใส่ในวิถีชีวิตที่แอคทีฟ โดยไม่ลดทอนความอลังการของกลไกเอสเคปเมนต์แบบแยกส่วน

LM Sequential EVO สะท้อนถึงวิวัฒนาการใหม่ของดีไซน์โครโนกราฟ โดยที่กลไกโครโนกราฟอิสระสองชุดสามารถทำงานแยกกันหรือซิงค์พร้อมกันได้ สวิตช์แบบไบนารี "Twinverter" ที่ออกแบบโดย Stephen McDonnell ช่วยให้จับเวลาได้หลายโหมด ทั้งจับเวลาต่างรอบ (split-seconds) จับเวลาต่อเนื่องแบบรอบ (lap timer) และจับเวลาหลายเหตุการณ์พร้อมกัน นับเป็นผลงานวิศวกรรมเชิงกลที่ชาญฉลาดถึงขีดสุด